วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาหารเพิ่มน้ำหนัก 10 เมนูสุขภาพ

     อาหารเพิ่มน้ำหนัก 10 เมนูสุขภาพ



มีหลายคนอยากลดน้ำหนัก แต่อีกหลายคนก็อยากเพิ่มน้ำหนัก มีอาหารชนิดใดบ้างเพิ่มน้ำหนักได้ชั้นดี มาดูกันกับ 10 เมนูสุขภาพค่ะ
1. เต้าหู้
เมนูอาหารที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบหลักถือว่าเป็นอาหารสุขภาพที่คุณสามารถเริ่มรับประทานได้ง่ายๆ เมื่อต้องการเพิ่มไขมันให้กับร่างกาย และเพื่อให้รสชาติของอาหารอร่อยและกลมกล่อมขึ้น คุณอาจรับประทานไปพร้อมกับซอสปรุงรสชั้นเยี่ยมที่มีรสชาติดีด้วยก็ได้
2. สลัด
สลัดถือเป็นเมนูที่รู้กันว่าเป็นอาหารสุขภาพ หากคุณเพิ่มซอสปรุงรส ขนมปังกรอบ ถั่ว หรือชีสเข้าไปในสลัดด้วย ก็จะทำให้คุณได้อาหารที่ช่วยเพิ่มไขมันให้คุณได้ และถ้าคุณเลือกน้ำสลัดรสเข้มข้น ไม่เพียงแต่จะเพิ่มรสชาติสลัดให้กลมกล่อมขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มไขมันให้คุณได้อีกด้วย
3. อาหารที่ปรุงด้วยไมโครเวฟ
อาหารที่คุณสามารถปรุงด้วยไมโครเวฟได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากอาหารประเภทนี้มีส่วนประกอบของไขมันอยู่พอสมควร จึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อเพิ่มปริมาณไขมันจากอาหารที่มีแคลอรี่สูงเช่นนี้
4. น้ำผลไม้
น้ำผลไม้โดยทั่วไปมักมีน้ำตาลในปริมาณที่สูง ไม่ว่าจะมาจากน้ำตาลที่ใส่เพิ่มเพื่อแต่งรสชาติหรือมาจากผลไม้เองก็ตาม การดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น 1-2 แก้วจะช่วยให้คุณได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เพียงพอสำหรับการสร้างไขมัน
5. เบอร์เกอร์
บางคนอาจเลือกเบอร์เกอร์ผักแทนเบอร์เกอร์เนื้อเพราะคิดว่าทำให้สุขภาพดีกว่าและมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ อย่างไรก็ตาม ทั้งชีสและขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์ช่วยให้คุณมีปริมาณไขมันเพิ่มขึ้นได้ในขณะที่คุณยังมีสุขภาพดีอยู่
6. อาหารจำพวกห่อ
อาหารจำพวกห่อได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารสุขภาพทางเลือกเมื่อเทียบกับอาหารที่ทำจากแป้งทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผิวหน้าของส่วนที่ห่อมีขนาดใหญ่กว่าผิวหน้าของขนมปัง จึงทำให้คุณสามารถเพิ่มมายองเนสและน้ำสลัดได้มากขึ้น และให้คุณได้ปริมาณไขมันที่มากขึ้นด้วย
7. น้ำนม
หากคุณได้ดื่มนมที่มีปริมาณครีมไขมันอยู่เต็ม 1-2 แก้ว นอกจากจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังช่วยให้คุณได้รับปริมาณไขมันที่ดีเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวให้คุณได้ การดื่มเครื่องดื่มร้อนพร้อมเติมนม 2-3 ช้อน ก็เป็นเทคนิคที่ดีที่ช่วยให้คุณดื่มนมเพิ่มขึ้น
8. ขนมอบจากรำข้าว
การได้รักษาสุขภาพไปพร้อมกับเพิ่มน้ำหนักโดยการเพิ่มส่วนผสมที่ให้ประโยชน์ทั้งสองได้ คุณก็สามารถทำได้จากขนมขบเคี้ยว เนื่องจากน้ำตาลและเนยที่ใส่ในขนมอบจะช่วยเพิ่มปริมาณไขมันให้คุณได้มากเลยทีเดียว
9. อาหารเช้ากราโนล่า
เป็นอาหารสุขภาพแต่ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้อีกอย่าง เนื่องจากมีปริมาณของน้ำตาลและน้ำมันเพื่อสุขภาพที่ใส่เพิ่มเข้าไป น้ำตาลและน้ำมันที่เป็นส่วนประกอบให้พลังงานประมาณ 500 แคลอรี่ต่อหนึ่งถ้วย และนี่เพียงพอสำหรับการเพิ่มปริมาณไขมันในร่างกายของคุณแล้ว
10. ผลไม้แห้ง
ผลไม้ในรูปแบบใดก็ตามถือเป็นอาหารสุขภาพ ทำให้บรรเทาอาการหิวได้ การเลือกรับประทานผลไม้แห้งแทนผลไม้สดจะให้พลังงานมากกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

กินคลีนประโยชน์สุดคุ้ม!

                          กินคลีนประโยชน์สุดคุ้ม!

หลายคนทราบว่า กินอาหารคลีนนั้นดีต่อสุขภาพ …แต่ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าดีอย่างไรในรายละเอียด วันนี้เราเลยเอาความจริงมาแถลง เพื่อให้คุณได้ทราบชัดๆ กันเลยว่า กลินคลีนแล้วดีอย่างไรค่ะ
          ปลอดภัยต่อร่างกาย
อาหารที่เรากินกันทั่วไปมักจะผ่านกระบวนการมากมายตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก จนถึงกระบวนการแปรรูปเป็นอาหาร ระหว่างกระบวนการเหล่านี้อาจมีการใช้สารเคมีกับพืชอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใส่ปุ๋ยเร่งโต การใช้ยาฆ่าแมลง ที่เราอาจไม่สามารถล้างหรือขจัดออกได้หมด ไม่นับรวมถึงการปรุงด้วยส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆ ที่หากกินมากๆจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น น้ำมันที่ใช้ทอด ซอสปรุงรส หรืออื่นๆ
ยิ่งกระบวนการมากเท่าไหร่ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากอาหารก็ยิ่งจะน้อยลง ทั้งอาจได้รับสารพิษเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ดังนั้นประโยชน์แรกที่เราจะได้รับจากการกินอาหารคลีนก็คือ ความปลอดภัย นั่นเอง
         ช่วยลดความอยากอาหาร
สาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่น้ำหนักเกินมักเกิดจาก “ความอยากอาหาร”และเมื่อต้องการลดน้ำหนักก็ไม่สามารถลดความอยากได้เมื่อเห็น อาหารก็อยากกินอยู่ดี
คุณอาจคิดว่า เมื่อความอยากเกิดขึ้น เรามีเพียง 2 ทางเลือก คือ กินเพื่อให้ท้องอิ่มจะได้หายอยาก หรือไม่กินเลย แต่จริงๆ แล้วความอยากอาหารเกิดเพราะร่างกายเราได้รับสารอาหารไม่ครบตามที่ต้องการ ต่างหาก ดังนั้นแม้ฝืนไม่กินก็ไม่ได้ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาได้อยู่ดี
อาหารคลีนทุกชนิดเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารและให้พลังงานน้อย ผู้ที่กินคลีนจึงได้สารอาหารครบ แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้น้ำหนักเกิน และยิ่งทำให้แข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
           ช่วยให้อ่อนเยาว์
สารแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราดูอ่อนเยาว์ ดังนั้นแน่นอนว่าการกินอาหารธรรมชาติหลากสีที่เต็มไปด้วยสารแอนตี้ออกซิ แดนท์ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รีสีแดง ผักใบเขียว ข้าวโพดสีเหลือง องุ่นม่วง จะช่วยลดอนุมูลอิสระ หรือฟรีเรดิคัลในร่างกายและทำให้เราแก่ช้าแน่นอน
           ดีต่อสิ่งแวดล้อม
กระบวนการซับซ้อนในการเร่งผลิต ดัดแปลง หรือแปรรูปอาหารล้วนส่งผลให้เกิดก๊าซพิษขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกทั้ง นั้น นอกจากปล่อยก๊าซพิษแล้ว ยังสร้างขยะและปล่อยน้ำเสียสู่สิ่งแวดล้อม เพิ่มมลพิษให้โลกอีกมากมาย ดังนั้นหากเราเลือกกินอาหารคลีนที่ผ่านกระบวนการไม่ซับซ้อน ก็เท่ากับเราได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับว่านอกจากจะ ปลอดภัยและสุขภาพดีแล้วเรายังได้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

น้ำอัดลม

น้ำอัดลม




น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม 

          "น้ำอัดลม" หรือที่รู้จักกันดีว่า "น้ำขวด" จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกดื่มหลากหลายรสชาติ 

          ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อน ๆ ด้วยแล้ว ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าคะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท ?

          น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่ม 

          น้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใส และเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเคราะห์

          การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลม จะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหาร ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น 

          อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและหวดศีรษะได้

Cupcake


Cupcake



"cupcake" ถูกพบครั้งแรกในปี 1828 ในหนังสือ Eliza Leslie's Receiptscookbook ในช่วงต้นศตวรรรษที่ 19 มีการเขียนทั้งแบบ Cup cake และ Cupcake เดิมที่สมัยก่อนจะอบ Cupcake ในถ้วยกระเบื้องกัน
คัพเค้ก ( Cupcake ) เริ่มแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวช่วงต้นศตวรรษที่ 19 คิดขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลาในการทำจีงได้คิดทำเค้กเป็นถ้วยๆขึ้นมา ซึ่งจริงๆต้นกำเนิดแล้วคำว่า Cupcake นั้น นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารคิดว่าน่าจะมาจาก 2 ทฤษฏี คือ

มาจากการทำเค้กในถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
มาจากเวลาทำเค้กชนิดนี้ มาตราส่วนในการตวงใช้ เป็นถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)

จริงๆแล้ว เริ่มแรกของเค้กชนิดนี้ เดิมเรียกว่า “ Number Cake , 1234 cakes , quarter cakes ” เพราะว่ามันง่ายในการจำสูตรในการทำ เนย 1 ถ้วย , น้ำตาล 2 ถ้วย , แป้ง 3 ถ้วย , ไข่ไก่ 4 ฟอง , นม 1 ถ้วย ,ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันอบเสร็จก็กลายเป็น Cupcake แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา Cupcake โดยส่วนผสม,รูปร่าง,การตกแต่ง ที่หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
คัพเค้ก (Cupcake) ทำง่าย สะดวกรวดเร็วกว่า การทำเค้กทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ หลังจากอบเสร็จมีการตั้งเอาไว้ให้หายร้อนในเตาอบ ทำให้เค้กไหม้ มัฟฟินทิน (Muffin tin) จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงในการเริ่มต้นทำ Cupcake ในถ้วยอลูมิเนียม , ถ้วยกระดาษสีสวยๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้ คัพเค้ก ( Cupcake) ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน มีร้านขาย Cupcake เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คัพเค้กยอดนิยม ก็ยังคงเป็นรสวานิลา (Vanilla)) และช็อคโกแล็ต ( Chocolate ) ส่วนรสอื่นๆ ก็มี ราสเบอรรี่ เมอแรง (raspberry meringue) ,เอสเพลสโซ่ ฟรัดจ์ (Espresso fudge) 

ดื่มอย่างไรเกิดภัยรอบด้าน?

ดื่มอย่างไรเกิดภัยรอบด้าน? ย้อนกลับ
การดื่มอย่างหนักนั้นหมายถึงการดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากในช่วงเวลาสั้นหรือการดื่มจนเมามาย 

อย่างไรคือน้อย? มากแล้วเป็นอย่างไร?

การแสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณต่างๆ จะส่งผลต่ออารมณ์ สติสัมปชัญญะและร่างกายของคุณได้เพียงใดในบทความนี้ จะใช้การดื่มแอลกอฮอล์มาตรฐานเพื่ออ้างอิงเปรียบเทียบ โดยใช้การดื่มไวน์ขาวความเข้มข้น 12 เปอร์เซ็นต์(175 มล.) และการดื่มกับเบียร์ลาเกอร์ความเข้มข้น 4 เปอร์เซ็นต์ (1 ไพน์ หรือประมาณ 568 มล.)





ไวน์ขาว 1 แก้วหรือเบียร์ 1 ไพน์ (ประมาณ 2 หน่วย) 

·            คุณจะช่างเจรจาและรู้สึกผ่อนคลาย

·            ความมั่นใจของคุณเพิ่มมากขึ้น

·            ความสามารถในการขับรถลดลง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาที่คุณต้องขับรถ    

ไวน์ขาว 2 แก้วหรือเบียร์ 2 ไพน์ (ประมาณ 4 หน่วย) 

·            การไหลเวียนเลือดของคุณเพิ่มขึ้น

·            ความยับยั้งชั่งใจของคุณลดลงและสมาธิของคุณสั้นลง

·            ร่างกายเริ่มเกิดภาวะสูญเสียน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเมาค้าง

ไวน์ขาว 3 แก้วหรือเบียร์ 3 ไพน์ (ประมาณ 6 หน่วย) 

·            ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณช้าลง

·            ตับของคุณต้องทำงานหนักขึ้น

·            แรงขับทางเพศของคุณอาจเพิ่มขึ้น ในขณะที่วิจารณญาณในการตัดสินใจของคุณอาจลดลง

ไวน์ขาว 4 แก้วหรือเบียร์ 3 ไพน์ครึ่ง (ประมาณ 8 หน่วย) 

·            คุณรู้สึกสับสนได้ง่าย

·            คุณแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัด

·            แรงขับทางเพศและความสามารถของคุณในเวลานี้อาจลดลง

โปรดจำไว้ด้วยว่าสำหรับบางคน (กลุ่มคนที่อายุยังน้อย คนที่ตัวเล็กและผู้หญิง) จะแสดงอาการเหล่านี้ได้ แม้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยปริมาณน้อยกว่าที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ถ้าคุณมีความทนทานต่อแอลกอฮอล์แล้วคุณอาจพบว่าผลพวงของการดื่มเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีกับตัวคุณเลย ดังนั้นในกรณีเช่นนี้ ให้พิจารณาว่าถึงเวลาที่คุณจะลดการดื่มหรือยัง หรือคุณจำเป็นต้องมองหาความช่วยเหลือหรือไม่ ก่อนที่การดื่มจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากจะแก้ไข

อาการเจ็บหน้าอก

อาการเจ็บหน้าอก





อาการเจ็บหน้าอก 

Angina

 อาการเจ็บหน้าอกเป็นอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ พบมากในผู้สูงอายุ ผู้ชายมีแนวโน้มเป็นมากกว่าผู้หญิง มักจะ เริ่มต้นด้วย อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอกเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด หรือ ทำกิจกรรมออกกำลังกาย

ชนิดของอาการเจ็บหน้าอก มี 2 ประเภท

อาการเจ็บหน้าอกชนิดคงที่ คือ  อาการเจ็บหน้าอกปกติที่มีมานานกว่าสองเดือน อาการมักจะค่อย ๆ พัฒนาสามารถสังเกตอาการได้เมื่อออกกำลังกาย หรืออยู่ภายใต้ความเครียดมาก ๆ อาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อได้รับการพัก

อาการเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่ คือ มักจะเกิดจากการตีบฉับพลันของหลอดเลือดหัวใจ รูปแบการเกิดอาการจะไม่ชัดเจน ความเจ็บปวดและความไม่สุขสบายจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีความรุนแรงมากขึ้น

อาการของโรค 

มักจะนำมาโดย การออกกำลังกาย ความเครียดทางอารมณ์ สภาพอากาศเย็น หรือหลังอาหาร อาการปวด จุก แน่น ไม่สุขสบายบริเวณหน้าอก อาการอาจจะแพร่กระจายไปยังคอ แขน หลัง หรือ ท้อง บางครั้งอาจมีอาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจถี่ ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคตังต่อไปนี้ หัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า การดำเนินชีวิตประจำวันจะลำบากมากขึ้น

สาเหตุของการเกิดโรค 

การเจ็บหน้าอกชนิดคงที่เกิดจากการตีบของหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากผนังของหลอดเลือด แคบและแข็ง การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจจะยากขึ้น การเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่เกิดจากการที่ไขมันที่สะสมบนผนังของหลอดเลือดแตกออกเป็นก้อน แล้วก่อตัวเป็นลิ่มเลือด ก่อให้เกิดการอุดตันบางส่วนหรืออย่างสมบูรณ์ของหลอดเลือด ลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจอย่างฉับพลัน

สาเหตุหลักของการเจ็บหน้าอกคือโรคหัวใจ หากมีอาการดังต่อไปนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ :ความดันโลหิตสูงโรคเบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน  และประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

การวินิจฉัยโรค 

หากมีอาการเจ็บหน้าอก ไม่สุขสบายขณะออกกำลังกายควรไปพบแพทย์โดยด่วน แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจพิเศษอื่นร่วมด้วยเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การรักษา 
ดูแลตนเองด้วยการควบคุมวิถีการดำเนินชีวิต การใช้ยาเพื่อการควบคุมภาวะโรคที่เป็นความเสี่ยงทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง

การดูแลตัวเอง : เพื่อช่วยควบคุมอาการ และป้องกันภาวะโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ดังต่อไปนื้ งดสูบบุหรี่ หากมีน้ำหนักเกินให้พยายามลดน้ำหนัก กินอาหารเพื่อสุขภาพ เช่นอาหารที่มีไขมันต่ำ มีเส้นใยสูง ผักและผลไม้ ออกกำลังกายเป็นประจำ จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดความเครียด ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การใช้ยา : ให้เป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ จะได้รับยาเป็นประจำเพื่อควบคุมอาการ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาโรคหัวใจต่อไป

การผ่าตัด

หากมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงอาจมีการทำการทำหัตถการดังต่อไปนี้ Coronary angioplasty (การใส่บอลลูนหัวใจ) หรือ Coronary artery bypass graft (CABG) การใส่สายสวนหัวใจ

การป้องกัน

ไม่สูบบุหรี่ ลดน้ำหนักส่วนเกิน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 30 นาที อย่างน้อย สัปดาห์ละห้าวันรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารเส้นใยสูง ผลไม้และผัก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ

การดูแลสุขภาพฟัน

                                                    การดูแลสุขภาพฟัน





การดูแลสุขภาพฟัน

Caring for your teeth

กุญแจสำคัญ
  • การมีสุขอนามัยของฟันที่ดีเป็นส่วนสำคัญมากในการดูแลสุขภาพฟัน
  • ปัญหาทางทันตกรรมที่พบบ่อย ได้แก่ ฟันผุ โรคเหงือก และฟันสึก
  • เราสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้โดยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง, ใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง, ไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ(ความถี่ขึ้นอยู่กับสุขภาพฟันและเหงือกของแต่ละคนด้วย) และจำกัดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
ฟันผุ

เมื่อผิวของฟันถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นที่บางและเหนียวที่เกิดจากแบคทีเรียเรียกว่า ขี้ฟัน เมื่อเรากินสิ่งใดๆก็ตามที่มีน้ำตาล แบคทีเรียบนฟันจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานและกรด กรดนี้จะค่อยๆทำให้สารเคลือบฟันบางตัว โดยต่อมาจะทำให้เกิดโพรงได้ซึ่งเรียกว่า ฟันผุ
ผิวของสารเคลือบฟันไม่มีเส้นประสาท ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึกปวดแม้ว่าจะมีโพรงที่ฟันแล้วก็ตาม และโพรงที่เกิดขึ้นอาจจะลึกเข้าไปถึงเนื้อฟันได้ เนื้อฟันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท ดังนั้นหากมีฟันผุมากอาจมีอาการปวดได้โดยเฉพาะเมื่อขณะรับประทานของร้อนๆ ของหวานหรือเป็นกรด อย่างไรก็ตามน้ำลายจะช่วยล้างคราบแบคทีเรียและช่วยปรับสภาพความเป็นกรดให้เป็นกลางได้ แต่ว่าน้ำลายก็ไม่สามารถที่จะขจัดได้ทั้งหมด

โรคเหงือก     
    

โรคเหงือก คือ การอักเสบของเหงือกและอาจรวมไปถึงกระดูกที่ยึดฟันกับขากรรไกรด้วย โรคเหงือกนั้นพบได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่มีฟันธรรมชาติ ถ้าหากเราไม่แปรงฟันเพื่อขจัดขี้ฟันออกไปอย่างสม่ำเสมอ เหงือกจะมีอาการบวมแดง บางและอาจมีเลือดออกได้ ซึ่งในระยะแรกนี้เรียกว่า เหงือกอักเสบ ซึ่งรักษาได้ง่ายด้วยการขจัดขี้ฟันออกและแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน
การรักษาเหงือกอักเสบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญเพราะ อาจทำให้เหงือกร่นจนทำให้เกิดฟันโยก/หลุดตามมาได้และเกิดร่องลึกบริเวณรอบฟัน ซึ่งเรียกว่า โรคปริทันต์ ซึ่งหากเป็นโรคนี้แล้ว ขี้ฟันอาจเข้าไปสะสมอยู่ในร่องลึกปริทันต์ซึ่งไม่สามารถแปรงฟันเพื่อขจัดออกได้ เมื่อสะสมเป็นเวลานานจะทำให้ขี้ฟันแข็งตัวขึ้นกลายเป็นหินปูนได้ หากร่องลึกปริทันต์นั้นมีความลึกที่มากขึ้นยิ่งทำให้ทำความสะอาดได้ยากและเกิดการติดเชื้อตามมาได้ นอกจากขี้ฟันจะทำลายเหงือกแล้วยังทำลายกระดูกบริเวณนั้นด้วย ซึ่งหากไม่ได้รักการรักษาเป็นเวลาหลายๆปี จะทำให้ฟันโยกมากและทำให้ต้องถอนออกในที่สุด


ฟันสึก

ฟันสึกคือการสูญเสียสารเคลือบฟันและเนื้อฟันเนื่องจากมีกรดมาทำลายบริเวณผิวฟัน แต่ฟันสึกนั้นเกิดจากกรดที่มาจากน้ำดื่มและอาหาร เช่น น้ำผลไม้, น้ำอัดลม(รวมถึงชนิด Diet ด้วย), ขนมกรุบกรอบ และซอสมะเขือเทศ เป็นต้น  ฟันสึกนั้นพบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็ก
เราสามารถลดฟันสึกได้โดยการจำกัดการกินน้ำดื่มที่เป็นกรด กรณีถ้ามีเด็กเล็ก พยายามให้เด็กกินเฉพาะน้ำหรือนมเท่านั้น หากเด็กอยากดื่มจริงๆให้เด็กกินจากแก้วหรือหลอดเพื่อลดการสัมผัสกับฟัน และห้ามให้เด็กดื่มผ่านขวดนมเด็ดขาด รวมถึงในเด็กที่อาเจียนบ่อยๆก็มีโอกาสฟันสึกได้สูงจากกรดในกระเพาะอาหาร ฟันสึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภาวะถาวรโดยหากสึกเข้าไปถึงเนื้อฟันจะทำให้ฟันเปราะบางมากขึ้นจนให้เกิดฟันเหลือง และมีโอกาสเกิดฟันผุสูงขึ้น

ดูแลฟันได้อย่างไรบ้าง

  • การแปรงฟัน: เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขจัดขี้ฟันได้ โดยเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีหัวขนาดเล็ก, ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ, แปรงบริเวณขอบเหงือกทุกครั้ง, แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2-3 นาที, เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย หรืออาจเร็วขึ้นอีกในกรณีที่ขนแปรงเริ่มเสีย
  • การใช้ไหมขัดฟัน: เป็นการขจัดขี้ฟันที่อยู่ระหว่างฟันได้ แต่ควรใช้อย่างถูกต้องซึ่งขอคำแนะนำได้จากทันตแพทย์
อย่างไรก็ตามทั้งการแปรงฟันร่วมการใช้ไหมขัดฟันอาจไม่สามารถขจัดขี้ฟันออกได้ทั้งหมดเนื่องจากแต่ละคนมีรูปแบบฟันที่แตกต่างกันไปอาจทำให้มีขี้ฟันที่กลายเป็นหินปูนเกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องอาศัยการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์เท่านั้น
  • การใช้น้ำยาบ้วนปาก: ฟลูออไรด์ในนั้นจะช่วยป้องกันการเกิดฟันผุ และช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ หากคุณใช้เพื่อลดอาการปากเหม็น ควรพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาเพราะปากเหม็นอาจบ่งถึงสุขอานามัยของช่องปากที่ไม่ดีได้
  • การเคี้ยวหมากฝรั่ง: ช่การกินหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลหลังอาหารจะช่วยเพิ่มน้ำลายได้ จึงช่วยลดการเกิดฟันผุได้ แต่อย่างไรก็ตามการเคี้ยวหมากฝรั่งไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันได้
  •  อื่นๆ: การควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหาร และงดการสูบุหรี่/กินเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์เป็นส่วนผสม
ควรพบทันตแพทย์บ่อยแค่ไหน

ควรไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 3 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพฟันของแต่ละคน

โรคหอบหืด

                                                         
โรคหอบหืด

  


โรคหอบหืด

Asthma

โรคหอบหืดเป็นภาวะที่มีผลต่อทางเดินหายใจทำให้หายใจลำบาก คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหอบหืดที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถใช้ชีวิตตามปกติ หากปล่อยไว้ไม่รักษาสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อทางเดินหายใจได้  มีจำนวนน้อยรายที่การกำเริบอย่างรุนแรงทำให้ถึงแก่ชีวิต

เกี่ยวกับภาวะโรค 

พบมากในวัยเด็ก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกได้บ้างในวัยผู้ใหญ่ที่เริ่มมีอาการโรคหอบหืดที่เกิดจากการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจจากสภาวะแวดล้อมในที่ทำงาน หรือพัฒนาจากภายหลังการติดเชื้อไวรัส โรคหอบหืดมีผลต่อ ทางเดินหายใจโดยจะมีอาการระคายเคืองและอักเสบ เป็นผลทำให้ทางเดินหายใจแคบลง มีเมือกออกมากทำให้อากาศไหลเข้าและออกจากปอดยากขึ้น

อาการ 

อาการของโรคหอบหืดขึ้นอยู่กับความรุนแรงเกิดขึ้นเช่น การไอ หอบ หายใจถี่  แน่นหน้าอก อาการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะต่างกันไปแต่ละบุคคล อาจจะมีอาการไม่เหมือนกัน และอาจเป็นๆ หายๆ อาการมักจะแย่ลงในเวลากลางคืนหรือในตอนเช้า

สาเหตุ 
โรคหอบหืดมักจะไม่ชัดเจน บ่อยครั้งมีตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบได้แก่ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ สารก่อความระคายเคือง เช่นฝุ่น, ควันบุหรี่ และควัน สารเคมี อื่น ๆ ที่พบในที่ทำงาน อันนี้จะเรียกว่าโรคหอบหืดจากการทำงาน การแพ้เกสร ยา สัตว์ ไรฝุ่นบ้าน หรืออาหารบางชนิด การออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอากาศเย็นและแห้ง อารมณ์  หัวเราะหรือร้องไห้อย่างแรง กระตุ้นให้เกิดอาการได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ยาบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดโรคหอบหืด ยาส่วนใหญ่มีความปลอดภัย แต่ถ้าคุณมีโรคหอบหืดระดับปานกลางถึงอย่างรุนแรง ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินและไอบูโปรเฟน ยาพวกเบต้าบล็อกเกอร์ที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูงหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอาจทำให้โรคหอบหืดแย่ลง

โรคหอบหืดพบมากในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง แต่วัยผู้ใหญ่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีอาการหอบหืดมากกว่าผู้ชาย โรคหอบหืดอาจเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ คุณแม่ที่สูบบุหรี่ในระหว่างตั้งครรภ์ลูกก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืด ถ้าเราสูบบุหรี่และมีลูกเล็กๆ เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืด ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักต่ำเกณฑ์ก็มีแนวโน้มที่เป็นโรคหอบหืดได้

การวินิจฉัยโรค 

แพทย์จะถามถึงปัจจัยที่คิดว่าอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการโรคหอบหืด อาจจะสั่งทำการทดสอบอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อวินิจฉัยโรค
•วัดอัตราการไหลสูงสุดของอากาศที่ถูกขับออกจากปอด เพื่อทดสอบวัดความเร็วของอากาศที่ถูกขับออกจากปอด
•การวัดสมรรถภาพปอด เพื่อทดสอบวัดความเร็วและปริมาณการไหลของอากาศ ซึ่งจะให้ข้อมูลละเอียดมากกว่าการวัดอัตราการไหลสูงสุด และแสดงให้เห็นสภาพการทำงานของปอด
•การทดสอบโรคภูมิแพ้ เพื่อทดสอบว่าแพ้สารอะไร
•การเอกซ์เรย์ทรวงอก มักจะไม่ใช้ในการวินิจฉัยโรคหอบหืด แต่อาจจะทำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีรูปแบบอื่นใดของโรคปอด
ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี การวินิจฉัยอาจทำเพียงแค่ว่ามีการตอบสนองต่อการรักษาโรคหอบหืดดีเพียงไร

การรักษาโรคหอบหืด 

โรคหอบหืดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้  เป็นการรักษาตามอาการเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน แผนการรักษาของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป การรักษาเป็นการประสมประสานระหว่างยากับอาการของโรคในทางที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละคน

ยาสูดพ่นแบบ inhalers 

มียาสูดพ่นพื้นฐาน 2 ประเภทใช้สำหรับโรคหอบหืดคือ: บรรเทาอาการ และป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ และรักษาอาการอักเสบของโรคหอบหืด ยาที่ใช้ในการรักษาถูกส่งตรงไปยังทางเดินหายใจ ในรูปของผงแห้งละอองยาเมื่อใช้คู่กับอุปกรณ์

ยาจะถูกสูดดมเข้าไปในทางเดินหายใจ คนไข้จะต้องใช้อุปกรณ์เป็นเพื่อให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ ควรสอบถามแพทย์สำหรับคำแนะนำและวิธีการใช้ยาและอุปกรณ์อย่างถูกต้อง ควรใช้ยาบรรเทาอาการเมื่ออาการของโรคหอบหืดกำเริบสามารถใช้ได้ทั้งแบบออกฤทธิ์สั้นหรือยาว แบบออกฤทธิ์สั้นช่วยในการผ่อนคลายและขยายทางเดินหายใจ มีตัวยา เช่น  salbutamol และ terbutaline  ซึ่งจะออกฤทธิ์เร็ว ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยาบรรเทาอาการมากกว่า3 ครั้งต่อสัปดาห์  แสดงว่าโรคหอบหืดคุมไม่อยู่  แพทย์อาจจะต้องทบทวนอาการอีกครั้ง หากได้รับยาป้องกัน ควรใช้ทุกวัน แม้ว่าจะไม่ได้มีอาการเพื่อเป็นการป้องกันอาการกำเริบ แพทย์จะกำหนดยาสูดพ่นแบบป้องกัน ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้

•รู้สึกหายใจขัด มีอาการไอหรือแน่นหน้าอกมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์เมื่อทำกิจกรรมประจำวัน
•จำเป็นต้องใช้ยาสูดพ่นบรรเทาอาการ 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือมากกว่า
•รู้สึกหายใจติดขัดเมื่อมีการติดเชื้อที่ปอดกหรืออยู่ในบรรยากาศที่เป็นควัน
•การนอนหลับถูกบกวนด้วยอาการแน่นหน้าอกหรือ ไอ
ยาพ่นป้องกันมักจะมีสเตียรอยด์เช่น beclometasone หรือ fluticasonem ซึ่งลดการอักเสบของทางเดินหายใจ อาจใช้เวลานานถึง 14 วัน กว่าที่ยาป้องกันเริ่มทำงาน แต่เมื่อมันเริ่มทำงานแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาสูดพ่นบรรเทาอีกเลย
ยาบรรเทาที่ออกฤทธิ์ยาวสามารถนำมาใช้ร่วมหากอาการของโรคควบคุมไม่ได้แล้วด้วยยาสเตียรอยด์แบบป้องกัน การใช้ยาบรรเทาออกฤทธิ์สั้นเป็นครั้งคราว  ยาจะทำงานในลักษณะเดียวกับยาบรรเทาที่ออกฤทธิ์สั้น แต่ฤทธิ์ยาจะคงอยู่นานกว่า 12 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับยาบรรเทาที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น Salmeterol หรือ formoterol บ่อยครั้งที่ยาเหล่านี้จะถูกประสมประสานกับสเตียรอยด์ ซึ่งหมายความว่าตัวยาทั้งสองจะถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในยาสูดพ่น

ยาสูดพ่นแบบ spacers 

เป็นยาสูดพ่นแบบขับเคลื่อนด้วยก๊าซ  คนไข้จะได้รับอุปกรณ์ช่วยพ่นยาซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยให้ใช้ยาสูดพ่นได้อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเด็กหรือผู้ที่พบว่ามันยากที่จะใช้ยาสูดพ่น ในเด็กเล็กถึงสามขวบก็สามารถเรียนรู้การใช้ยาสูดพ่นด้วยอุปกรณ์ช่วยพ่นยานี้ อุปกรณ์ช่วยพ่นยาเป็นหลอดยาวซึ่งสวมลงบนยาสูดพ่น คนไข้หายใจเข้าและออกจากปากที่ปลายอีกด้านของท่อ ใช้ง่ายเพราะสามารถเปิดใช้งานเครื่องสูดพ่นยาแล้วสูดหายใจเข้าและออกได้ในเวลาเดียวกัน การใช้อุปกรณ์ช่วยพ่นยายังช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บคอจากการใช้ยาสูดพ่นสเตียรอยด์  และเมื่อใช้อย่างถูกต้องก็มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับเครื่องพ่นละอองยาในการรักษาโรคหอบหืดเฉียบพลัน

เครื่องพ่นละอองยา (nebulizer)

เครื่องพ่นละอองยาเป็นการทำให้ยาโรคหอบหืดเป็นละอองแล้วหายใจเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ  เป็นการช่วยส่งยาไปในจุดที่ต้องการ สิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนไข้มีโรคหอบหืดที่รุนแรงและจำเป็นต้องมีการรักษาฉุกเฉินในบ้านหรือโรงพยาบาล ถ้าใช้ spacer กับยาโรคหอบหืดมันอาจจะมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับเครื่องพ่นละอองยาสำหรับการรักษาโรคหอบหืดแทบทุกชนิด  หากเด็กมีโรคหอบหืดควรสอบกับแพทย์ว่าเครื่องพ่นละอองยาเหมาะที่จะใช้กับเด็กหรือไม่ หากใช้ nebuliser เป็นประจำควรหมั่นนำไปตรวจเช็คอยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
หากมีอาการหอบหืดรุนแรงแพทย์อาจสั่งยาสเตียรอยด์แบบเม็ด เช่น prednisolone และยาอื่นๆ อีกหลายอย่างทั้งเป็นเม็ดและยาสูดพ่น ถ้าการรักษาแบบทั่วไปไม่ได้ผล อาจสั่งยากลุ่ม montelukast หรือ zafirlukast ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา

การปฏิบัติตัวของคนที่เป็นโรคหอบหืด 

ยาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษา  คนไข้ยังจะต้องจัดการกับสิ่งที่ทำให้โรคนี้กำเริบ  ควรบันทึกอะไรก็ตามที่กระตุ้นโรคหอบหืดให้แย่ลงอันนี้จะช่วยทำให้พบรูปแบบของโรคได้มากขึ้น  การวัดอัตราการไหลสูงสุดในการตรวจสอบการทำงานของปอดเป็นสิ่งมีประโยชน์  คนส่วนใหญ่ที่มีโรคหอบหืดสามารถใช้??ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

การพักผ่อนนอนหลับที่เหมาะสม

การพักผ่อนนอนหลับที่เหมาะสม





คนทุกคนต้องการการพักผ่อนนอนหลับ แต่นานแค่ไหนจึงจะพอดี  พ่อแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าจะให้เด็กทารกนอนหลับนานแค่ไหนดี  กังวลว่าลูกวัยรุ่นอาจนอนไม่เพียงพอ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถหยุดสัปหงกในระหว่างวันได้  บทความนี้จะกล่าวถึงความต้องการนอนหลับในช่วงอายุต่าง ๆ ของชีวิตเรา

การนอนหลับที่ดี
ระยะเวลาและชนิดของการนอนหลับที่เราต้องการเปลี่ยนไปกับอายุ  อย่างไรก็ตาม  อายุมิใช่เพียงปัจจัยเดียวที่เป็นตัวตัดสิน  แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน  บางคนมากและบางคนน้อยกว่าความต้องการของคนโดยเฉลี่ย  ระยะเวลาการนอนหลับอาจมีความสำคัญน้อยกว่าคุณภาพของการหลับ  ความต้องการในการนอนหลับแต่ละวันก็อาจเปลี่ยนไปวันต่อวันขึ้นกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
ข้อมูลที่เรากำลังนำเสนอ คือ การเปลี่ยนแปลงของความต้องการนอนตลอดห้วงอายุขัยของชีวิต  อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวในวันรุ่งขึ้น นั่นบ่งบอกว่า ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้ว


วัยทารก
ทารกมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ต้องการ 17 ชั่วโมงของการนอนหลับแต่ละวันเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ และช่วยให้พวกเขามีเวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่  ๆ
เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ นาฬิกาชีวิตของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่  จะใช้เวลา 6 เดือนแรกในการปรับตัวให้นอนหลับกลางคืนมากกว่ากลางวัน มันจะเป็นการดีที่จะกำหนดกิจวัตรประจำให้กับทารก เมื่อเขาอายุ 6 ถึง 8 สัปดาห์ เพื่อช่วยเตรียมให้เขาหลับได้ดี
ทารก เช่นเดียวกับผู้ใหญ่  มีการสลับแบบการนอนระหว่างการนอนหลับไม่สนิท  และการนอนหลับสนิท  อย่างไรก็ตามทารกมีสัดส่วนของเวลาที่นอนหลับไม่สนิทสูงกว่าการนอนหลับสนิท ดังนั้นจึงตื่นง่ายกว่าผู้ใหญ่ และมีการสลับแบบการนอนสองแบบนี้ถี่กว่าผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้มีการตื่นตอนกลางคืนบ่อย  อย่างไรก็ตาม ทารกมักจะหลับต่อด้วยตนเองภายในไม่กี่นาทีหลังตื่นตอนกลางคืน

วัยเด็กหัดเดิน
เด็กวัยหัดเดิน อยู่ไม่ค่อยนิ่ง ดังนั้นต้องการการพักผ่อนมาก เด็กอายุหนึ่งถึงสองปี ต้องการนอนหลับระหว่าง 10 และ 13 ชั่วโมงต่อวัน  พ่อแม่บางคนชอบที่จะให้ลูกตัวเองนอนหลับยาวไปเลยในตอนกลางคืน ขณะที่บางคน ชอบให้เด็กหลับสั้น ๆในเวลากลางวันและนอนหลับกลางคืนสั้นลงกว่าเดิม พ่อแม่ของเด็กวัยนี้  คงต้องหารูปแบบการนอนที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเองและลูกแล้วทำให้มันกลายเป็นรูปแบบกิจวัตรประจำสำหรับครอบครัว


วัยเด็กโต
เด็กโต ก็อยู่ไม่ค่อยนิ่ง  มีการเรียนรู้ และการพัฒนา ในอัตราที่สูงมาก  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการการพักผ่อนมากมาย สำหรับวัยนี้ ความต้องการในการนอนอาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไป ต้องการประมาณ  90-10 ชั่วโมง ของการนอนหลับตอนคืน  และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อโตขึ้น  เช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ เราไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมลงไปตายตัว แต่ในฐานะพ่อแม่ เราพิจารณาได้ว่าลูกนอนหลับเพียงพอไหม และเขาควรต้องการนอนนานเท่าใด

วัยรุ่น
วัยรุ่น โดยทั่วไปต้องการนอนประมาณ 9 ชั่วโมงในแต่ละคืน - แต่ พวกเขามักจะนอนไม่เพียงพอ  มันไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับวัยรุ่นที่ต้องการที่จะนอนดึกแล้วบ่นเกี่ยวกับการตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน  อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลทางชีววิทยาที่อาจอธิบายเรื่องนี้  รูปแบบการนอนหลับตามธรรมชาติเปลี่ยนไปในวัยรุ่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเชื่อว่า ช่วยให้เกิดความง่วง จะถูกสร้างขึ้นมาช้ากว่าที่เคยในตอนเย็นสำหรับวัยรุ่น – ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนดึกมาก ๆ  เรียกว่า โรคนาฬิกาชีวภาพเดินช้า นอกจากนั้น หากวัยรุ่นใช้อุปกรณ์บางอย่างก่อนนอน เช่น คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ การสัมผัสกับแสงและการกระตุ้นต่อจิตใจทำให้ชะลอความง่วง จะดีที่สุดคือไม่ให้มี เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ โทรทัศน์ ในห้องนอนของวัยรุ่น การพยายามให้วัยรุ่นนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันจะช่วยให้วัยรุ่นได้รับการนอนหลับที่พวกเขาต้องการ

วัยผู้ใหญ่
โดยทั่วไปผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับ 7 – 8 ชั่วโมง แต่บางคน สามารถทำงานได้หลังจากนอนหลับเล็กน้อย  เราสามารถอดนอนได้เป็นครั้งคราว – ซึ่งทำให้เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป  การขาดการนอนหลับอย่างต่อเนื่อง ( นอนไม่หลับ ) อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบางกิจกรรม เช่น การขับรถอย่างปลอดภัย   ควรพบแพทย์หากมีปัญหาการนอนหลับและส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในระหว่างวัน  แพทย์อาจจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อให้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญ

ผู้สูงอายุ
อายุที่มากขึ้นไม่ทำให้ความต้องการนอนหลับลดลง ผู้สูงอายุยังคงต้องการนอนหลับแปดชั่วโมง  อย่างไรก็ตาม การหลับสนิทจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ตื่นง่ายขึ้นหลังจากนอนไปได้3 – 4 ชั่วโมง  และหลับต่อได้ยากขึ้น
ปัญหาสุขภาพ อื่น ๆ เช่น ต่อมลูกหมาก โรคข้อเสื่อม ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของการนอนหลับ  หากนอนหลับไม่เพียงพอในเวลากลางคืนก็จะรู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน นอกจากนั้นผู้สูงอายุมักจะหลับเร็วขึ้นและตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม   การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนหลับ เช่น หลังการเดินทางโดยเครื่องบิน ก็รู้สึกจะยากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น

ปัญหาของวัยรุ่น

ปัญหาของวัยรุ่น




                ปัจจุบันปัญหาที่ทำให้สังคมต้องมองข้ามไม่ได้นั้นก็คือปัญหาของวัยรุ่น ซึ่งจะเป็นกลุ่มหลักในการช่วยสร้างประเทศให้มั่นคงแต่ตอนนี้วัยรุ่นส่วนมากมักสร้างปัญหาหลาย ๆ อย่างซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อหลาย ๆ สถาบัน เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันเศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อตัวบุคคลเองและบุคคลใกล้ชิด(พ่อ,แม่)รวมถึงสังคมและประเทศชาติซึ่งอาจนำความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ปัญหากลุ่มวัยรุ่นจึงกลายเป็นปัญหาหลักอีกปัญหาหนึ่งที่ทุกคนในสังคมไม่ควรมองข้าม มิใช่ปัญหาเฉพาะคนใดคนหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่งเท่านั้น ปัจจุบันแนวโน้มของความรุนแรงและการขยายตัวของปัญหาต่าง ๆ ของกลุ่มวัยรุ่นได้เพิ่มขึ้นตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม ระบบเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีถึงแม้ว่าได้มีความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหาจากหน่วยงานต่าง ๆ ในบาง ส่วนของภาครัฐบ้างแล้วก็ตาม



สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา



             ด้านเกี่ยวกับตนเอง เช่น ปฏิบัติตัวตามเพื่อนซึ่งวัยนี้มักจะถือเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของวัยรุ่นแต่ละคนมักไม่เหมือนกันทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย วัยรุ่นมักพยายามหัดติดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ดัวยตนเองมักหลีกเลี่ยงขอคำปรึกษาจากพ่อแม่และผู้ปกครองมักพยายามหาทางแก้ไขปัญหาดัวยตนเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดการปรับตัวที่ดีขึ้นและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ด้วยความสบายใจแต่ในทางตรงกันข้ามถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็จะทำให้อารมณ์ไม่ดีใจอ่อนไหวง่าย แต่จะพยายามดับอารมณ์ด้วยความสุขุมเยือกเย็นมากยิ่งขึ้นและมักที่จะควรทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่จะแสดงว่าตนไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไป พยายามลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น สูบบุหรี่ หัดดื่มเหล้า แต่งหน้าทาปาก สวมรองเท้าส้นสูง(ผู้หญิง) และเกิดความต้องการที่จะยึดติดกับกลุ่มเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ เกิดความต้องการของตนเองบวกกับความต้องการของกลุ่มเพื่อน ซึ่งสามารถแยกได้เป็นความต้องการทางกายคือ ปัจจัย ซึ่งประกอบด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ซึ่งส่วนนี้ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยพ่อแม่เนื่องจากยังไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ความต้องการความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่นดนตรี กีฬา การเที่ยวเตร่และสถานบันเทิงต่าง ๆ ต้องการเป็นอิสระอยากเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องการใครมาบังคับต้องการได้รับความยกย่อง ความเด่น อยากดัง อยากมีชื่อเสียง มีอุดมคติสูงมากกว่าที่จะปฏิบัติได้จริงถ้าหากเชื่อในเรื่องใดแล้วจะเชื่อถือได้อย่างจริงจัง ต้องการประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ชอบทดลองโดยเฉพาะอย่างสิ่งที่ต้องห้าม ต้องการรวมกลุ่มอยากมีเพื่อนเพื่อเที่ยวเตร่ ปรับทุกข์ สนุกสนานด้วยกัน การใช้ชีวิตของวัยรุ่นมักยึดค่านิยมที่ชอบหาความลำบากใส่ตัวโดยการสร้างเรื่องหรือก่อความวุ่นวายขึ้นในสังคมโดยเฉพาะกับบุคคลที่มีอำนาจเหนือตน เช่น ครู ตำรวจ   ชอบความรุนแรงและดุดันโดยเห็นว่าความเป็นลูกชายต้องใช้กำลังส่วนใหญ่เลียนแบบจากภาพยนตร์ การเลียนแบบจะเกิดขึ้นทั่วไปในกลุ่มของเด็กวัยรุ่น ชอบความโอ่อ่า เน้นในด้านวัตถุ เช่นการแต่งการเสื้อผ้าราคาแพงเพื่อให้ทันต่อนิยมสมัย โดยไม่คำนึงถึงวิธีใด   ชอบความตื่นเต้นและหวาดเสียว ชอบการผจญภัย หนีโรงเรียน หนีเที่ยว ฝ่าฝืนกฎระเบียบมีพฤติกรรมเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ ชอบเชื่อถือโชคชะตาเด็กวัยรุ่นจะอ้างว่าผลจากการกระทำของตนเป็นเรื่องของโชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ชอบปกครองตนเองจะแสดงออกถึงการรักอิสระจนเกินขอบเขต ไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมความประพฤติ ซึ่งถ้าพิจารณาในแง่จิตใจแล้วสามารถอธิบายได้ว่าการแสดงออกของเด็กเหล่านี้เพื่อจะทดสอบความเข้มงวดกวดขันของพ่อแม่ผู้ปกครองหรือในทางตรงกันข้ามต้องการให้ผู้อื่นเอาใจใส่ดูแลตน เพราะฉะนั้นการที่เด็กหนีโรงเรียนหรือออกจากบ้านนอกจากต้องการอิสระ แล้วยังเป็นการทดสอบความเข้มงวดหรือต้องการเรียกร้องความสนใจความเอาใจใส่จากพ่อแม่ผู้ปกครองอีกด้วย

               ด้านที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว สภาพสังคมและค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งแตกต่างกับสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง ซึ่งแต่ก่อนวัยรุ่นมักจะอยู่กับครอบครัวมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันสภาพสังคมมีความสงบสุขแต่เมื่อความเจริญทางเทคโนโลยีเข้ามาถึงสภาพก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปสังคมมีความยุ่งเหยิงพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกทำให้ลูกขาดความอบอุ่นไปหาความอบอุ่นนอกบ้านจนเกิดเป็นปัญหาสังคมที่ต้องแก้ไขกันต่อไป



โลกปัจจุบัน



               
สังคมในปัจจุบันให้ความสำคัญต่อความเจริญทางด้านวัตถุมากกว่าคุณค่าด้านจิตใจอีกทั้งวัยรุ่นยังมีค่านิยมในการเที่ยวเตร่กลางคืนซึ่งชักนำให้วัยรุ่นก่อพฤติกรรมการเลียนแบบที่เย้ายวนใจชักนำให้วัยรุ่นหันไปลอกเลียนแบบและเอาอย่างพฤติกรรมที่ไม่ดี ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพ่อแม่ควรเอาใจใส่เรื่องนี้ด้วย การเข้าไปเที่ยวสถานบันเทิงต่าง ๆของวัยรุ่นก็เป็นความเสี่ยงเช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ คาเฟ่ ผับ เธค สนุกเกอร์ ลานสเก็ต วัยรุ่นใช้เป็นแหล่งนัดพบเพื่อเที่ยวและทำความรู้จักเพื่อนต่างเพศ ทำให้เกิดการมั่วสุม