วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาหารเพิ่มน้ำหนัก 10 เมนูสุขภาพ

     อาหารเพิ่มน้ำหนัก 10 เมนูสุขภาพ



มีหลายคนอยากลดน้ำหนัก แต่อีกหลายคนก็อยากเพิ่มน้ำหนัก มีอาหารชนิดใดบ้างเพิ่มน้ำหนักได้ชั้นดี มาดูกันกับ 10 เมนูสุขภาพค่ะ
1. เต้าหู้
เมนูอาหารที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบหลักถือว่าเป็นอาหารสุขภาพที่คุณสามารถเริ่มรับประทานได้ง่ายๆ เมื่อต้องการเพิ่มไขมันให้กับร่างกาย และเพื่อให้รสชาติของอาหารอร่อยและกลมกล่อมขึ้น คุณอาจรับประทานไปพร้อมกับซอสปรุงรสชั้นเยี่ยมที่มีรสชาติดีด้วยก็ได้
2. สลัด
สลัดถือเป็นเมนูที่รู้กันว่าเป็นอาหารสุขภาพ หากคุณเพิ่มซอสปรุงรส ขนมปังกรอบ ถั่ว หรือชีสเข้าไปในสลัดด้วย ก็จะทำให้คุณได้อาหารที่ช่วยเพิ่มไขมันให้คุณได้ และถ้าคุณเลือกน้ำสลัดรสเข้มข้น ไม่เพียงแต่จะเพิ่มรสชาติสลัดให้กลมกล่อมขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มไขมันให้คุณได้อีกด้วย
3. อาหารที่ปรุงด้วยไมโครเวฟ
อาหารที่คุณสามารถปรุงด้วยไมโครเวฟได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากอาหารประเภทนี้มีส่วนประกอบของไขมันอยู่พอสมควร จึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อเพิ่มปริมาณไขมันจากอาหารที่มีแคลอรี่สูงเช่นนี้
4. น้ำผลไม้
น้ำผลไม้โดยทั่วไปมักมีน้ำตาลในปริมาณที่สูง ไม่ว่าจะมาจากน้ำตาลที่ใส่เพิ่มเพื่อแต่งรสชาติหรือมาจากผลไม้เองก็ตาม การดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น 1-2 แก้วจะช่วยให้คุณได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เพียงพอสำหรับการสร้างไขมัน
5. เบอร์เกอร์
บางคนอาจเลือกเบอร์เกอร์ผักแทนเบอร์เกอร์เนื้อเพราะคิดว่าทำให้สุขภาพดีกว่าและมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ อย่างไรก็ตาม ทั้งชีสและขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์ช่วยให้คุณมีปริมาณไขมันเพิ่มขึ้นได้ในขณะที่คุณยังมีสุขภาพดีอยู่
6. อาหารจำพวกห่อ
อาหารจำพวกห่อได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารสุขภาพทางเลือกเมื่อเทียบกับอาหารที่ทำจากแป้งทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผิวหน้าของส่วนที่ห่อมีขนาดใหญ่กว่าผิวหน้าของขนมปัง จึงทำให้คุณสามารถเพิ่มมายองเนสและน้ำสลัดได้มากขึ้น และให้คุณได้ปริมาณไขมันที่มากขึ้นด้วย
7. น้ำนม
หากคุณได้ดื่มนมที่มีปริมาณครีมไขมันอยู่เต็ม 1-2 แก้ว นอกจากจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังช่วยให้คุณได้รับปริมาณไขมันที่ดีเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวให้คุณได้ การดื่มเครื่องดื่มร้อนพร้อมเติมนม 2-3 ช้อน ก็เป็นเทคนิคที่ดีที่ช่วยให้คุณดื่มนมเพิ่มขึ้น
8. ขนมอบจากรำข้าว
การได้รักษาสุขภาพไปพร้อมกับเพิ่มน้ำหนักโดยการเพิ่มส่วนผสมที่ให้ประโยชน์ทั้งสองได้ คุณก็สามารถทำได้จากขนมขบเคี้ยว เนื่องจากน้ำตาลและเนยที่ใส่ในขนมอบจะช่วยเพิ่มปริมาณไขมันให้คุณได้มากเลยทีเดียว
9. อาหารเช้ากราโนล่า
เป็นอาหารสุขภาพแต่ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้อีกอย่าง เนื่องจากมีปริมาณของน้ำตาลและน้ำมันเพื่อสุขภาพที่ใส่เพิ่มเข้าไป น้ำตาลและน้ำมันที่เป็นส่วนประกอบให้พลังงานประมาณ 500 แคลอรี่ต่อหนึ่งถ้วย และนี่เพียงพอสำหรับการเพิ่มปริมาณไขมันในร่างกายของคุณแล้ว
10. ผลไม้แห้ง
ผลไม้ในรูปแบบใดก็ตามถือเป็นอาหารสุขภาพ ทำให้บรรเทาอาการหิวได้ การเลือกรับประทานผลไม้แห้งแทนผลไม้สดจะให้พลังงานมากกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

กินคลีนประโยชน์สุดคุ้ม!

                          กินคลีนประโยชน์สุดคุ้ม!

หลายคนทราบว่า กินอาหารคลีนนั้นดีต่อสุขภาพ …แต่ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าดีอย่างไรในรายละเอียด วันนี้เราเลยเอาความจริงมาแถลง เพื่อให้คุณได้ทราบชัดๆ กันเลยว่า กลินคลีนแล้วดีอย่างไรค่ะ
          ปลอดภัยต่อร่างกาย
อาหารที่เรากินกันทั่วไปมักจะผ่านกระบวนการมากมายตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก จนถึงกระบวนการแปรรูปเป็นอาหาร ระหว่างกระบวนการเหล่านี้อาจมีการใช้สารเคมีกับพืชอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใส่ปุ๋ยเร่งโต การใช้ยาฆ่าแมลง ที่เราอาจไม่สามารถล้างหรือขจัดออกได้หมด ไม่นับรวมถึงการปรุงด้วยส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆ ที่หากกินมากๆจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น น้ำมันที่ใช้ทอด ซอสปรุงรส หรืออื่นๆ
ยิ่งกระบวนการมากเท่าไหร่ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากอาหารก็ยิ่งจะน้อยลง ทั้งอาจได้รับสารพิษเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ดังนั้นประโยชน์แรกที่เราจะได้รับจากการกินอาหารคลีนก็คือ ความปลอดภัย นั่นเอง
         ช่วยลดความอยากอาหาร
สาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่น้ำหนักเกินมักเกิดจาก “ความอยากอาหาร”และเมื่อต้องการลดน้ำหนักก็ไม่สามารถลดความอยากได้เมื่อเห็น อาหารก็อยากกินอยู่ดี
คุณอาจคิดว่า เมื่อความอยากเกิดขึ้น เรามีเพียง 2 ทางเลือก คือ กินเพื่อให้ท้องอิ่มจะได้หายอยาก หรือไม่กินเลย แต่จริงๆ แล้วความอยากอาหารเกิดเพราะร่างกายเราได้รับสารอาหารไม่ครบตามที่ต้องการ ต่างหาก ดังนั้นแม้ฝืนไม่กินก็ไม่ได้ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาได้อยู่ดี
อาหารคลีนทุกชนิดเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารและให้พลังงานน้อย ผู้ที่กินคลีนจึงได้สารอาหารครบ แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้น้ำหนักเกิน และยิ่งทำให้แข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
           ช่วยให้อ่อนเยาว์
สารแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราดูอ่อนเยาว์ ดังนั้นแน่นอนว่าการกินอาหารธรรมชาติหลากสีที่เต็มไปด้วยสารแอนตี้ออกซิ แดนท์ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รีสีแดง ผักใบเขียว ข้าวโพดสีเหลือง องุ่นม่วง จะช่วยลดอนุมูลอิสระ หรือฟรีเรดิคัลในร่างกายและทำให้เราแก่ช้าแน่นอน
           ดีต่อสิ่งแวดล้อม
กระบวนการซับซ้อนในการเร่งผลิต ดัดแปลง หรือแปรรูปอาหารล้วนส่งผลให้เกิดก๊าซพิษขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกทั้ง นั้น นอกจากปล่อยก๊าซพิษแล้ว ยังสร้างขยะและปล่อยน้ำเสียสู่สิ่งแวดล้อม เพิ่มมลพิษให้โลกอีกมากมาย ดังนั้นหากเราเลือกกินอาหารคลีนที่ผ่านกระบวนการไม่ซับซ้อน ก็เท่ากับเราได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับว่านอกจากจะ ปลอดภัยและสุขภาพดีแล้วเรายังได้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

น้ำอัดลม

น้ำอัดลม




น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม 

          "น้ำอัดลม" หรือที่รู้จักกันดีว่า "น้ำขวด" จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกดื่มหลากหลายรสชาติ 

          ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อน ๆ ด้วยแล้ว ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าคะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท ?

          น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่ม 

          น้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใส และเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเคราะห์

          การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลม จะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหาร ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น 

          อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและหวดศีรษะได้

Cupcake


Cupcake



"cupcake" ถูกพบครั้งแรกในปี 1828 ในหนังสือ Eliza Leslie's Receiptscookbook ในช่วงต้นศตวรรรษที่ 19 มีการเขียนทั้งแบบ Cup cake และ Cupcake เดิมที่สมัยก่อนจะอบ Cupcake ในถ้วยกระเบื้องกัน
คัพเค้ก ( Cupcake ) เริ่มแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวช่วงต้นศตวรรษที่ 19 คิดขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลาในการทำจีงได้คิดทำเค้กเป็นถ้วยๆขึ้นมา ซึ่งจริงๆต้นกำเนิดแล้วคำว่า Cupcake นั้น นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารคิดว่าน่าจะมาจาก 2 ทฤษฏี คือ

มาจากการทำเค้กในถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
มาจากเวลาทำเค้กชนิดนี้ มาตราส่วนในการตวงใช้ เป็นถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)

จริงๆแล้ว เริ่มแรกของเค้กชนิดนี้ เดิมเรียกว่า “ Number Cake , 1234 cakes , quarter cakes ” เพราะว่ามันง่ายในการจำสูตรในการทำ เนย 1 ถ้วย , น้ำตาล 2 ถ้วย , แป้ง 3 ถ้วย , ไข่ไก่ 4 ฟอง , นม 1 ถ้วย ,ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันอบเสร็จก็กลายเป็น Cupcake แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา Cupcake โดยส่วนผสม,รูปร่าง,การตกแต่ง ที่หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
คัพเค้ก (Cupcake) ทำง่าย สะดวกรวดเร็วกว่า การทำเค้กทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ หลังจากอบเสร็จมีการตั้งเอาไว้ให้หายร้อนในเตาอบ ทำให้เค้กไหม้ มัฟฟินทิน (Muffin tin) จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงในการเริ่มต้นทำ Cupcake ในถ้วยอลูมิเนียม , ถ้วยกระดาษสีสวยๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้ คัพเค้ก ( Cupcake) ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน มีร้านขาย Cupcake เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คัพเค้กยอดนิยม ก็ยังคงเป็นรสวานิลา (Vanilla)) และช็อคโกแล็ต ( Chocolate ) ส่วนรสอื่นๆ ก็มี ราสเบอรรี่ เมอแรง (raspberry meringue) ,เอสเพลสโซ่ ฟรัดจ์ (Espresso fudge) 

ดื่มอย่างไรเกิดภัยรอบด้าน?

ดื่มอย่างไรเกิดภัยรอบด้าน? ย้อนกลับ
การดื่มอย่างหนักนั้นหมายถึงการดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากในช่วงเวลาสั้นหรือการดื่มจนเมามาย 

อย่างไรคือน้อย? มากแล้วเป็นอย่างไร?

การแสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณต่างๆ จะส่งผลต่ออารมณ์ สติสัมปชัญญะและร่างกายของคุณได้เพียงใดในบทความนี้ จะใช้การดื่มแอลกอฮอล์มาตรฐานเพื่ออ้างอิงเปรียบเทียบ โดยใช้การดื่มไวน์ขาวความเข้มข้น 12 เปอร์เซ็นต์(175 มล.) และการดื่มกับเบียร์ลาเกอร์ความเข้มข้น 4 เปอร์เซ็นต์ (1 ไพน์ หรือประมาณ 568 มล.)





ไวน์ขาว 1 แก้วหรือเบียร์ 1 ไพน์ (ประมาณ 2 หน่วย) 

·            คุณจะช่างเจรจาและรู้สึกผ่อนคลาย

·            ความมั่นใจของคุณเพิ่มมากขึ้น

·            ความสามารถในการขับรถลดลง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาที่คุณต้องขับรถ    

ไวน์ขาว 2 แก้วหรือเบียร์ 2 ไพน์ (ประมาณ 4 หน่วย) 

·            การไหลเวียนเลือดของคุณเพิ่มขึ้น

·            ความยับยั้งชั่งใจของคุณลดลงและสมาธิของคุณสั้นลง

·            ร่างกายเริ่มเกิดภาวะสูญเสียน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเมาค้าง

ไวน์ขาว 3 แก้วหรือเบียร์ 3 ไพน์ (ประมาณ 6 หน่วย) 

·            ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณช้าลง

·            ตับของคุณต้องทำงานหนักขึ้น

·            แรงขับทางเพศของคุณอาจเพิ่มขึ้น ในขณะที่วิจารณญาณในการตัดสินใจของคุณอาจลดลง

ไวน์ขาว 4 แก้วหรือเบียร์ 3 ไพน์ครึ่ง (ประมาณ 8 หน่วย) 

·            คุณรู้สึกสับสนได้ง่าย

·            คุณแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัด

·            แรงขับทางเพศและความสามารถของคุณในเวลานี้อาจลดลง

โปรดจำไว้ด้วยว่าสำหรับบางคน (กลุ่มคนที่อายุยังน้อย คนที่ตัวเล็กและผู้หญิง) จะแสดงอาการเหล่านี้ได้ แม้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยปริมาณน้อยกว่าที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ถ้าคุณมีความทนทานต่อแอลกอฮอล์แล้วคุณอาจพบว่าผลพวงของการดื่มเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีกับตัวคุณเลย ดังนั้นในกรณีเช่นนี้ ให้พิจารณาว่าถึงเวลาที่คุณจะลดการดื่มหรือยัง หรือคุณจำเป็นต้องมองหาความช่วยเหลือหรือไม่ ก่อนที่การดื่มจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากจะแก้ไข

อาการเจ็บหน้าอก

อาการเจ็บหน้าอก





อาการเจ็บหน้าอก 

Angina

 อาการเจ็บหน้าอกเป็นอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ พบมากในผู้สูงอายุ ผู้ชายมีแนวโน้มเป็นมากกว่าผู้หญิง มักจะ เริ่มต้นด้วย อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอกเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด หรือ ทำกิจกรรมออกกำลังกาย

ชนิดของอาการเจ็บหน้าอก มี 2 ประเภท

อาการเจ็บหน้าอกชนิดคงที่ คือ  อาการเจ็บหน้าอกปกติที่มีมานานกว่าสองเดือน อาการมักจะค่อย ๆ พัฒนาสามารถสังเกตอาการได้เมื่อออกกำลังกาย หรืออยู่ภายใต้ความเครียดมาก ๆ อาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อได้รับการพัก

อาการเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่ คือ มักจะเกิดจากการตีบฉับพลันของหลอดเลือดหัวใจ รูปแบการเกิดอาการจะไม่ชัดเจน ความเจ็บปวดและความไม่สุขสบายจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีความรุนแรงมากขึ้น

อาการของโรค 

มักจะนำมาโดย การออกกำลังกาย ความเครียดทางอารมณ์ สภาพอากาศเย็น หรือหลังอาหาร อาการปวด จุก แน่น ไม่สุขสบายบริเวณหน้าอก อาการอาจจะแพร่กระจายไปยังคอ แขน หลัง หรือ ท้อง บางครั้งอาจมีอาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจถี่ ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคตังต่อไปนี้ หัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า การดำเนินชีวิตประจำวันจะลำบากมากขึ้น

สาเหตุของการเกิดโรค 

การเจ็บหน้าอกชนิดคงที่เกิดจากการตีบของหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากผนังของหลอดเลือด แคบและแข็ง การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจจะยากขึ้น การเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่เกิดจากการที่ไขมันที่สะสมบนผนังของหลอดเลือดแตกออกเป็นก้อน แล้วก่อตัวเป็นลิ่มเลือด ก่อให้เกิดการอุดตันบางส่วนหรืออย่างสมบูรณ์ของหลอดเลือด ลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจอย่างฉับพลัน

สาเหตุหลักของการเจ็บหน้าอกคือโรคหัวใจ หากมีอาการดังต่อไปนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ :ความดันโลหิตสูงโรคเบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน  และประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

การวินิจฉัยโรค 

หากมีอาการเจ็บหน้าอก ไม่สุขสบายขณะออกกำลังกายควรไปพบแพทย์โดยด่วน แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจพิเศษอื่นร่วมด้วยเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การรักษา 
ดูแลตนเองด้วยการควบคุมวิถีการดำเนินชีวิต การใช้ยาเพื่อการควบคุมภาวะโรคที่เป็นความเสี่ยงทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง

การดูแลตัวเอง : เพื่อช่วยควบคุมอาการ และป้องกันภาวะโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ดังต่อไปนื้ งดสูบบุหรี่ หากมีน้ำหนักเกินให้พยายามลดน้ำหนัก กินอาหารเพื่อสุขภาพ เช่นอาหารที่มีไขมันต่ำ มีเส้นใยสูง ผักและผลไม้ ออกกำลังกายเป็นประจำ จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดความเครียด ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การใช้ยา : ให้เป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ จะได้รับยาเป็นประจำเพื่อควบคุมอาการ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาโรคหัวใจต่อไป

การผ่าตัด

หากมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงอาจมีการทำการทำหัตถการดังต่อไปนี้ Coronary angioplasty (การใส่บอลลูนหัวใจ) หรือ Coronary artery bypass graft (CABG) การใส่สายสวนหัวใจ

การป้องกัน

ไม่สูบบุหรี่ ลดน้ำหนักส่วนเกิน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 30 นาที อย่างน้อย สัปดาห์ละห้าวันรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารเส้นใยสูง ผลไม้และผัก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ

การดูแลสุขภาพฟัน

                                                    การดูแลสุขภาพฟัน





การดูแลสุขภาพฟัน

Caring for your teeth

กุญแจสำคัญ
  • การมีสุขอนามัยของฟันที่ดีเป็นส่วนสำคัญมากในการดูแลสุขภาพฟัน
  • ปัญหาทางทันตกรรมที่พบบ่อย ได้แก่ ฟันผุ โรคเหงือก และฟันสึก
  • เราสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้โดยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง, ใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง, ไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ(ความถี่ขึ้นอยู่กับสุขภาพฟันและเหงือกของแต่ละคนด้วย) และจำกัดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
ฟันผุ

เมื่อผิวของฟันถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นที่บางและเหนียวที่เกิดจากแบคทีเรียเรียกว่า ขี้ฟัน เมื่อเรากินสิ่งใดๆก็ตามที่มีน้ำตาล แบคทีเรียบนฟันจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานและกรด กรดนี้จะค่อยๆทำให้สารเคลือบฟันบางตัว โดยต่อมาจะทำให้เกิดโพรงได้ซึ่งเรียกว่า ฟันผุ
ผิวของสารเคลือบฟันไม่มีเส้นประสาท ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึกปวดแม้ว่าจะมีโพรงที่ฟันแล้วก็ตาม และโพรงที่เกิดขึ้นอาจจะลึกเข้าไปถึงเนื้อฟันได้ เนื้อฟันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท ดังนั้นหากมีฟันผุมากอาจมีอาการปวดได้โดยเฉพาะเมื่อขณะรับประทานของร้อนๆ ของหวานหรือเป็นกรด อย่างไรก็ตามน้ำลายจะช่วยล้างคราบแบคทีเรียและช่วยปรับสภาพความเป็นกรดให้เป็นกลางได้ แต่ว่าน้ำลายก็ไม่สามารถที่จะขจัดได้ทั้งหมด

โรคเหงือก     
    

โรคเหงือก คือ การอักเสบของเหงือกและอาจรวมไปถึงกระดูกที่ยึดฟันกับขากรรไกรด้วย โรคเหงือกนั้นพบได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่มีฟันธรรมชาติ ถ้าหากเราไม่แปรงฟันเพื่อขจัดขี้ฟันออกไปอย่างสม่ำเสมอ เหงือกจะมีอาการบวมแดง บางและอาจมีเลือดออกได้ ซึ่งในระยะแรกนี้เรียกว่า เหงือกอักเสบ ซึ่งรักษาได้ง่ายด้วยการขจัดขี้ฟันออกและแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน
การรักษาเหงือกอักเสบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญเพราะ อาจทำให้เหงือกร่นจนทำให้เกิดฟันโยก/หลุดตามมาได้และเกิดร่องลึกบริเวณรอบฟัน ซึ่งเรียกว่า โรคปริทันต์ ซึ่งหากเป็นโรคนี้แล้ว ขี้ฟันอาจเข้าไปสะสมอยู่ในร่องลึกปริทันต์ซึ่งไม่สามารถแปรงฟันเพื่อขจัดออกได้ เมื่อสะสมเป็นเวลานานจะทำให้ขี้ฟันแข็งตัวขึ้นกลายเป็นหินปูนได้ หากร่องลึกปริทันต์นั้นมีความลึกที่มากขึ้นยิ่งทำให้ทำความสะอาดได้ยากและเกิดการติดเชื้อตามมาได้ นอกจากขี้ฟันจะทำลายเหงือกแล้วยังทำลายกระดูกบริเวณนั้นด้วย ซึ่งหากไม่ได้รักการรักษาเป็นเวลาหลายๆปี จะทำให้ฟันโยกมากและทำให้ต้องถอนออกในที่สุด


ฟันสึก

ฟันสึกคือการสูญเสียสารเคลือบฟันและเนื้อฟันเนื่องจากมีกรดมาทำลายบริเวณผิวฟัน แต่ฟันสึกนั้นเกิดจากกรดที่มาจากน้ำดื่มและอาหาร เช่น น้ำผลไม้, น้ำอัดลม(รวมถึงชนิด Diet ด้วย), ขนมกรุบกรอบ และซอสมะเขือเทศ เป็นต้น  ฟันสึกนั้นพบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็ก
เราสามารถลดฟันสึกได้โดยการจำกัดการกินน้ำดื่มที่เป็นกรด กรณีถ้ามีเด็กเล็ก พยายามให้เด็กกินเฉพาะน้ำหรือนมเท่านั้น หากเด็กอยากดื่มจริงๆให้เด็กกินจากแก้วหรือหลอดเพื่อลดการสัมผัสกับฟัน และห้ามให้เด็กดื่มผ่านขวดนมเด็ดขาด รวมถึงในเด็กที่อาเจียนบ่อยๆก็มีโอกาสฟันสึกได้สูงจากกรดในกระเพาะอาหาร ฟันสึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภาวะถาวรโดยหากสึกเข้าไปถึงเนื้อฟันจะทำให้ฟันเปราะบางมากขึ้นจนให้เกิดฟันเหลือง และมีโอกาสเกิดฟันผุสูงขึ้น

ดูแลฟันได้อย่างไรบ้าง

  • การแปรงฟัน: เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขจัดขี้ฟันได้ โดยเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีหัวขนาดเล็ก, ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ, แปรงบริเวณขอบเหงือกทุกครั้ง, แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2-3 นาที, เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย หรืออาจเร็วขึ้นอีกในกรณีที่ขนแปรงเริ่มเสีย
  • การใช้ไหมขัดฟัน: เป็นการขจัดขี้ฟันที่อยู่ระหว่างฟันได้ แต่ควรใช้อย่างถูกต้องซึ่งขอคำแนะนำได้จากทันตแพทย์
อย่างไรก็ตามทั้งการแปรงฟันร่วมการใช้ไหมขัดฟันอาจไม่สามารถขจัดขี้ฟันออกได้ทั้งหมดเนื่องจากแต่ละคนมีรูปแบบฟันที่แตกต่างกันไปอาจทำให้มีขี้ฟันที่กลายเป็นหินปูนเกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องอาศัยการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์เท่านั้น
  • การใช้น้ำยาบ้วนปาก: ฟลูออไรด์ในนั้นจะช่วยป้องกันการเกิดฟันผุ และช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ หากคุณใช้เพื่อลดอาการปากเหม็น ควรพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาเพราะปากเหม็นอาจบ่งถึงสุขอานามัยของช่องปากที่ไม่ดีได้
  • การเคี้ยวหมากฝรั่ง: ช่การกินหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลหลังอาหารจะช่วยเพิ่มน้ำลายได้ จึงช่วยลดการเกิดฟันผุได้ แต่อย่างไรก็ตามการเคี้ยวหมากฝรั่งไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันได้
  •  อื่นๆ: การควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหาร และงดการสูบุหรี่/กินเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์เป็นส่วนผสม
ควรพบทันตแพทย์บ่อยแค่ไหน

ควรไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 3 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพฟันของแต่ละคน